Main Menu

ข่าว:

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ www.SongkhlaMedia.com เรียนเชิญชาวสงขลาและทุกท่านร่วมขับเคลื่อนเว็บไซต์สาระที่มากกว่าข่าว ร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อสงขลาบ้านเรา

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ฅนสองเล

#121
ถึงเวลารัฐบาลต้องเดินหน้าศึกษาคลองไทย
อดีตนายพล รวมทีมทวงถามให้นายกต้องมีคำตอบ

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2561 ณ โรงแรมสยามโอเรียลเต็ล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีการจัดการประชุมและแถลงการณ์ดำเนินงานคลองไทย เพื่อเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งกรรมการศึกษาคลองไทย โดย สมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา สาขา 5จังหวัด (สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่) สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยองค์กรภาคประชาชนภาคใต้ ร่วมประชุมและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ผู้เข้าร่วมประชุมและแถลงข่าว นำโดย พลเอกพงษ์เทพ เทศประทีป นายกสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา พลตำรวจเอกสุนทร ซ้ายขวัญ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร พลเอกประดิษฐ์ บุญเกิด พลเรือเอกศุภกร บูรณดิลก นายยงยศ แก้วเขียว นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย นายณรงค์ ขุ้มทอง ประธานอำนวยการฝ่ายประสานงานสมาคมคลองไทย สาขาภาคใต้ นายวิวัฒน์ แก้วนพ วิศวกรโครงการคลองไทย นายกสมาคมคลองไทยสาขา 5 จังหวัด และเครื่อข่ายภาคประชาชนร่วมเวทีในครั้งนี้

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่สมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในในพื้นที่ 5 จังหวัดที่เส้นทางแนวขุดคลองพาดผ่าน รวมถึงข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับภาค และระดับประเทศ ข้อมูลจากนักวิชาการ ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนและหวังที่จะเห็นรัฐบาลเดินหน้าโครงการขุดคลองไทยเส้นทาง 9เอ อย่างจริงจังเสียที

ที่ผ่านมาคณะทำงานคลองไทยในแต่ละจังหวัด ได้มีการลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ประสานงานกับส่วนราชการ ท้องถิ่นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และมีการรวบรวมรายชื่อชาวบ้านที่สนับสนุนโครงการในแต่ละจังหวัดรวมมากกว่า 2แสนรายชื่อ เพื่อนำเสนอผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ให้นำเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินโครงการต่อไป และจากเสียงสะท้อนของชาวบ้านส่วนใหญ่สนับสนุนโครงการนี้ พร้อมมีคำถามกลับมาว่าเมื่อไหร่จะสร้าง เมื่อไหร่จะเริ่มต้นศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง

พลเอกพงษ์เทพ เทศประทีป นายกสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา กล่าวว่า การขุดคลองไทยหรือคลองคอดกระในอดีตมีมาตั้งแต่ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา และมีการพยายามทำเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องในทุกยุคทุกสมัย แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงเลยว่าที่สุดแล้วคลองไทย ทำได้หรือไม่ คุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ อยากให้รัฐบาลชุดนี้แต่งตั้งคณะทำงานและศึกษาข้อมูลกันอย่างจริงจังเสียที

เช่นเดียวกับพลตำรวจเอกสุนทร ซ้ายขวัญ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเสริมว่าสมาคมชาวปักษ์ใต้อยากเห็นการศึกษาอย่างจริงจัง และอยากได้คำตอบว่าการขุดคลองไทยในครั้งนี้ทำได้หรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าทำได้ก็ให้เดินหน้าทำทันที แต่หากศึกษาแล้วว่าไม่คุ้มค่าก็ยกเลิกโครงการไปเลย

นายยงยศ แก้วเขียว นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย เสริมว่า เครือข่ายกำนันผุ้ใหญ่บ้านทั่วประเทศเห็นด้วยกับโครงการนี้ และพร้อมที่จะระดมพลเพื่อสนับสนุนโครงการขุดคลองไทย อยากให้เครือข่ายได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอโครงการนี้ต่อรัฐบาลและให้รัฐบาลรับพิจารณาโดยทันที

หลังจากนี้เครือข่ายสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา จะทำหนังสือและขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทวงคมนาคม เพื่อให้มีการศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังภายใต้การประสานงานที่เหนี่ยวแน่นของหลากหลายบุคคล เพื่อให้รัฐบาลมีคำตอบให้ได้ว่าจะเริ่มศึกษาโครงการขุดคลองไทย และเร่งดำเนินการตั้งคณะทำงานโดยเร็วที่สุด
#122
กฟผ. เทพา ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจ
ของพี่น้องชาวไทยมุสลิม ในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ

กฟผ. ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจของชาวไทยมุสลิม อำเภอเทพา ในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ประจำฮิจเราะห์ 1439

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ตัวแทนโครงการเตรียมงานพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพา พร้อมด้วยมัคคุเทศก์พลังงาน โครงการเตรียมงานพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพา ร่วมมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคและอินทผาลัม จำนวน 68 ชุด ให้แก่ชมรมอิหม่ามอำเภอเทพา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับทางมัสยิดภายในอำเภอเทพาจำนวนทั้งหมด 68 มัสยิด สำหรับนำไปใช้ประกอบการปฏิบัติศาสนกิจการถือศีลอดในห้วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ ประจำปีฮิจเราะห์ 1439 โดยมีนายจิระวุฒ ิเจ๊ะหวัง เลขานุการชมรมอิหม่ามอำเภอเทพา เป็นผู้รับมอบในครั้งนี้ ณ ชมรมอิหม่ามอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

นายจิระวุฒิ เจ๊ะหวัง เลขานุการชมรมอิหม่ามประจำอำเภอเทพา กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการชมรมอิหม่ามประจำอำเภอเทพา มีความภูมิใจและขอขอบพระคุณ กฟผ.เป็นอย่างสูง ที่ได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมต่อการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเดือนแห่งการทำความดีทั้งหลายเป็นการฝึกความอดทนและอดกลั้นเดือนแห่งการทดสอบ อันนำไปสู่ความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจทำให้ผู้ปฏิบัติทราบและเข้าใจถึงสภาพอันแท้จริงของผู้ที่อัตตาคัดอย่างชัดเจน ทำให้มีความเห็นใจผู้อื่น ถือได้ว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง"
#123
จัดบอลคู่พิเศษรับพิธีปิดฟุตบอลสงขลาคัพ
พร้อมจัดประกวดวงโยธวาทิตชิงแชมป์ภาคใต้

อบจ.สงขลา จัดแข่งขันฟุตบอลสงขลาคัพ ครั้งที่ 5 ต้านภัยยาเสพติด ประจำปี 2561 หาดใหญ่ยูไนเต็ด คว้าชัยแชมป์ชนะจะนะซิตี้ 5-1 พร้อมบอลคู่พิเศษ ประชาธิปัตย์ พบ AllStar ช่อง 3 และการประกวดวงโยธวาทิตระดับภาคใต้ โดยโรงเรียนเทศบาล 1 (เอ็งเสียงสามัคคี) ชนะเลิศทั้ง 2 ประเภท

(13 พฤษภาคม 2561) ณ สนามกีฬาติณสูลานนท์ มีการจัดงานพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลประชาชน "สงขลาคัพ" ครั้งที่ 5 ต้านภัยยาเสพติด จังหวัดสงขลาประจำปี 2561 โดยมีแขกผู้มีเกียรติร่วมงานมากมายไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี , นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ฯลฯ และประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมงานในครั้งนี้

สำหรับการแข่งขันคู่ชิงชนะเสิศ สงขลาคัพ 2561 ครั้งนี้ ก็เป็นการแข่งขันกันระหว่าง ทีมหาดใหญ่ยูไนเต็ด กับ ทีมจะนะซิตี้ ซึ่งผลการแข่งขันทีมหาดใหญ่ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะ ด้วยสกอร์ 5-1 คว้ารางวัลชนะเลิศรับเงินรางวัลกว่า 300,000 บาท และในพิธีปิดครั้งนี้ก็มีการแข่งขันฟุตบอลคู่พิเศษ ระหว่างทีมขุนพลพรรคประชาธิปัตย์ พบกับ ทีม AllStar ช่อง 3 ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงเชียร์จากแฟนๆ จำนวนมาก

นอกจากนี้ภายในงานก็มีการประกวดวงโยธวาทิตระดับภาคใต้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือประเภทเดินขบวนพาเหรด และประเภทการประชันตีกลอง โดยมีผลการแข่งขันดังนี้ ประเภทเดินขบวนพาเหรด รางวัลชนะเลิศ ได้รับถ้วยเกียรติยศและทุนส่งเสริมกิจกรรม 70,000 บาท ได้แก่ วงโยธวาทิตโรงเรียนเทศบาล 1 (เอ็งเสียงสามัคคี) ทน.หาดใหญ่ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัลและทุนส่งเสริมกิจกรรม 40,000 บาท ได้แก่ วงโยธวาทิตโรงเรียนเบญจมราทูทิศ ปัตตานี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ได้รับถ้วยรางวัลและทุนส่งเสริมกิจกรรม 25,000 บาท ได้แก่ วงโยธวาทิตโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย 2 จังหวัดสงขลา

ประเภทการประชันตีกลอง รางวัลชนะเลิศ ได้รับถ้วยเกียรติยศและทุนส่งเสริมกิจกรรม 40,000 บาท ได้แก่ทีม ดาร์คไซต์ ดรัมไลน์ จากโรงเรียนเทศบาล 1 (เอ็งเสียงสามัคคี) รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัลและทุนส่งเสริมกิจกรรม 25,000 บาท ได้แก่ทีมสมบูรณ์กุลกันยา ดรัมไลน์ จากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  ได้รับถ้วยรางวัลและทุนส่งเสริมกิจกรรม 20,000 บาท ได้แก่ทีม บิ๊ก บีช ดรัมไลน์ จากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จังหวัดสงขลา
#124
สวยงามอลังการบรรยากาศพิธีเปิดงานเทศกาลสีสันบอลลูน@หาดใหญ่ 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬาจิระนคร เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ท่ามกลางการแสดงบอลลูลประกอบแสงสีเสียง และดนตรีอย่างสวยงามประทับใจนักท่องเที่ยว

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 พ.ค. 61 ที่สนามกีฬาจิระนคร เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้มีการจัดพิธีเปิดงานเทศกาลสีสันบอลลูน@หาดใหญ่ 2018  อย่างเป็นทางแล้ว มีนายดลเดช พัฒนรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนางสุจิตรา จงชาณสิทโธ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ และหน่วยงานจากภาครัฐ เอกชน ประชาชน นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศร่วมในพิธีเปิด

ส่วนบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมชมสีสันของบอลลูนกว่า 3 พันคน ท่ามกลางสีสันของการแสดงแสงสีเสียงและบอลลูนแฟนซี ผสมผสานกับการแสดงดนตรีไทยร่วมสมัยวงปี่พาทย์สุวรรณหงส์ และดนตรีสากล โดยเฉพาะการการแสดงชุด Balloon Night Glow ที่เป็นไฮไลต์ของงานนี้ซึ่งมีการปิดไฟทั้งสนามและมีเฉพาะไฟของบอลลูนสร้างความสวยงามและความประทับใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

สำหรับในปีนี้มีบอลลูนจากนานาชาติรวมร่วม 14 ลูก ทั้งที่มาจากประเทศ บราซิล ไต้หวัน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เยอรมนี ไทย อเมริกา เบลเยียม และเวียดนาม  และจัดขึ้น 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-13 พ.ค. และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมตั้งแต่เวลา 16.00 น.-22.00 น. และยังเปิดโอกาสให้ที่ลงทะเบียนขึ้นบอลลูนได้ด้วย  เพื่อสร้างสีสัน และบรรยากาศการท่องเที่ยวของ อ.หาดใหญ่ ให้คึกคักมายิ่งขึ้น โดยจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
#125
สงขลา จัดพิธีไหว้หัวหมู 599หัวพร้อมกับอีก 6จังหวัดรวม4,247หัว ทำลายสถิติโลก

สงขลา จัดพิธีไหว้หัวหมูพร้อมกับอีก 6 จังหวัด ทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อความเป็นสิริมงคล และแสดงศักยภาพของกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศในการผลิตหมูคุณภาพดีพร้อมที่จะเป็นครัวโลกด้านการส่งออกสุกร รวมทั้งยังเป็นทำลายสถิติโลกลงในกินเน็สบุ๊คที่มีการไหว้หัวหมูพร้อมๆกันมากถึง 4,247 หัว

เมื่อเวลา 09.59 น. วันที่ 9 พ.ค. 61 ที่บริเวณสวนหย่ออมเซี่ยงตึ้ง ถ.ศุภสารรังสรรค์ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเกษตรกรทั่วประเทศ ร่วมกับสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ จ.สงขลา รวมทั้งหอการค้า จ.สงขลา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ ภายใต้การนำของ นายณรงค์พร ณ พัทลุง ปลัดจังหวัดสงขลา และ นายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล ประธานหอการค้า จ.สงขลา และตัวแทนผู้เลี้ยงสุกรใน จ.สงขลา จัดพิธีไหว้หัวหมูเสริมสิริมงคลทั่วไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดยใช้หัวหมู 559 หัว มาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะที่ปูด้วยผืนผ้าสีแดง พร้อมกับเครื่องเซ่นไหว้เต็มลาน พร้อมกับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคล อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งร่ำรวย ปราศจากโรคภัยของผู้เข้าร่วมพิธี รวมทั้งกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนใน จ.สงขลา รวมทั้งประชาชนทั่วไป เข้าร่วมพิธีไหว้หัวหมูในครั้งนี้จำนวนมาก

สำหรับพิธีไหว้หัวหมูที่จัดขึ้นนั้น ยังแสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรไทยมีศักยภาพในการผลิตหมูคุณภาพดีปลอดสารเร่งเนื้อแดง และพร้อมที่จะเป็นครัวโลกด้านการส่งออกสุกรไปยังต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนั้นในวันนี้ยังเป็นการจัดพิธีไหว้หัวหมูพร้อมกัน 6 จังหวัด ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ คือ จ.ราชบุรี จ.ชลบุรี จ.สงขลา จ.นครราชสีมา จ.เชียงใหม่ จ.สระบุรี เพื่อทำลายสถิติโลก ซึ่งรวมแล้วมีหัวหมูทั้งหมด 4,247 หัว และบันทึกลงในกินเนสบุ๊ตอีกด้วย

/////
#126
นายกชาย มอบเงินจากการจัดคอนเสิร์ตคาราบาวแก่โรงพยาบาลในพื้นที่ 4อำเภอ 

นายเดชอิศม์ ขาวทอง หรือนายกชาย ได้เดินทางนำเงินที่ได้จากการจัดคอนเสิร์ต "คาราบาว เพื่อการกุศล" มอบให้ผู้อำนวยการ และตัวแทนโรงพยาบาลประจำอำเภอ ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสิงหนคร โรงพยาบาลควนเนียง โรงพยาบาลบางกล่ำ และโรงพยาบาลรัตภูมิ รวมทั้งสิ้น 250,000 บาท นอกจากนั้นยังได้มอบให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนตำบลท่าช้าง อีก 10,000 บาท

โดยการจัดคอนเสิร์ต "คาราบาว เพื่อการกุศล" จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ทางผู้จัดงานนำโดยนายกชาย ได้มอบบัตรคอนเสิร์ตให้ทางโรงพยาบาลเป็นผู้จัดจำหน่ายแก่ผู้ที่สนใจและมอบรายได้การจำหน่ายทั้งหมดให้แก่ทางโรงพยาบาล พร้อมกับการบริจาคสมทบทุนอีกเพื่อให้ได้ยอดเงินเต็มจำนวน และให้ทางโรงพยาบาลได้นำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป
#127
กฟผ.ยันเหตุสารเคมีรั่วที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนไม่ใช่สารไซยาไนด์ แต่เป็นกรดไฮโดรคลอริค

กฟผ. ยันเหตุสารเคมีรั่วที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน 'ไม่ใช่สารไซยาไนด์' ตามที่เป็นข่าว แต่เป็นกรดไฮโดรคลอริค (HCL) หรือกรดเกลือ สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ โดยไม่มีผู้ได้รับอันตราย

นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงถึงกรณีที่ช่วงเช้าวันนี้ (6 พฤษภาคม 2561) มีสื่อมวลชนบางแห่ง นำเสนอข่าวว่า เกิดเหตุสารไซยาไนด์รั่วภายในบริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 4-7 และมีการอพยพคนงานออกจากพื้นที่ดังกล่าว

กฟผ. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า สารเคมีดังกล่าวไม่ใช่สารไซยาไนด์ ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุกรดไฮโดรคลอริคที่ใช้ปรับสภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้ามีการรั่วซึม ได้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยเร่งด่วนจนสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่และคนงานกลับเข้าไปปฏิบัติงานได้ตามปกติแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
#128
ท้องถิ่นควรลุกขึ้นมาปฏิรูปตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งหรือมามาตรการใดๆ จากรัฐบาล

ผมได้นำส่งบทความ ตำบลบ้านพรุ กรณีศึกษา...ถ้ายังไม่ปฏิรูปท้องถิ่นก็อย่าเพิ่งเลือกตั้งเลย https://news.gimyong.com/article/6211 ไปยังภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปท้องถิ่นของประเทศไทย และนี่คือคำตอบจากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสุทธิพงศ์ จุลเจริญ ท่านได้ชี้แจงกลับมาว่า 

การควบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน สามารถกระทำได้โดยจัดทำเป็นประกาศกระทรวงมหาดไทยแต่ต้องเป็นไปโดยเจตนารมย์ของประชาชนแห่งท้องถิ่นนั้น  หากประชาชนแห่งท้องถิ่นทั้งสองแห่งประสงค์จะควบรวมแล้ว ย่อมกระทำได้ โดยดำเนินการตามลำดับขั้นตอนดังนี้

1. สภาท้องถิ่นทั้งสองแห่ง มีมติให้ดำเนินการควบรวม

2. เมื่อมีมติตามข้อหนึ่ง แล้วจึงสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยการโหวตออกเสียงหย่อนบัตรในลักษณะประชามติ ประชาชนส่วนมากว่าอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น

3. หากเสียงข้างมากเห็นด้วยให้ควบรวมให้ส่งเรื่องมายัง กระทรวงมหาดไทยให้ดำเนินการจัดทำประกาศควบรวมต่อไป

การลดหรือขยายเขตพื้นที่ก็ทำในลักษณะเดียวกัน ท้องถิ่นสามารถทำเองได้โดยต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่
เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อครับ
#129
ม.อ.วางศิลาฤกษ์อุทยานวิทย์ เป็นแหล่งนำเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และสร้างงาน

"สงขลานครินทร์" วางศิลาฤกษ์ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ที่ตำบลทุ่งใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งสร้างงานและส่งเสริมการพัฒนาของชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้งบก่อสร้างกว่า 425 ล้านบาท เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ สร้างที่ส่วนขยายตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ และจะเป็น "นิคมวิจัยสำหรับเอกชน" แห่งแรกของภาคใต้

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จ.สงขลา) ที่พื้นที่วิทยาเขตหาดใหญ่ ส่วนขยาย ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561โดยมี รองศาสตราจารย์ นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดี นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา เข้าร่วมในพิธี

รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) ดังกล่าว ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างด้วยงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเงิน 425 ล้านบาท และ มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สำหรับก่อสร้างบนพื้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ส่วนขยาย ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ โดยมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่

อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) แห่งนี้ จะเป็น "นิคมวิจัยสำหรับเอกชน" แห่งแรกของภาคใต้ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการอาคาร และโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน  มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเสริมสร้างและขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศ

และเป็นศูนย์กลางสนับสนุนให้เกิด กิจกรรมการวิจัยและพัฒนาโดยภาคเอกชนในพื้นที่ภาคใต้  นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างงานและส่งเสริมการพัฒนาของชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกด้วย
#130
ส่องความหวังคนกรีดยางก่อนถึงวันเปิดเทอม
ชาวสวนควรทำอย่างไร ในวันที่ราคายังไม่นิ่ง

ระยะเวลาเกือบ 4 ปีของรัฐบาลคสช.มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตร และล่าสุดกับการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยคนแรก และปรับโครงสร้างบอร์ดบริหารยางพาราครั้งใหญ่ เพื่อหวังช่วยให้ราคายางดีขึ้น โดยผู้ว่าการยางพาราครนใหม่บอกขอเวลา 3 เดือน เดินหน้าดันราคายางสู่กิโลละ 50 บาท+

ข้อมูลจากเพจ การยาพารา 6 เม.ย.61 ระบุว่า "ปัญหาราคายางยังคงเป็นหนามที่ยอกอกรัฐบาลทุกรัฐบาลเรื่อยมาโดยเฉพาะรัฐบาลนี้ที่ดูที่ท่าแล้วราคายังไม่มีทิศทางว่าจะไปทางไหนดีราคายางพ่นพิษถึงขั้นเปลี่ยนรัฐมนตรี พักงาน ผู้ว่า กยท. และวันนี้ถึงคราวเปลี่ยนแปลงบอร์ด พรบ.กยท.2558 มาตรา 17 กำหนดให้มีคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ด กยท. ประกอบด้วย
(1) ประธานกรรมการ
(2) กรรมการโดยตำแหน่ง
(3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

กรรมการโดยตำแหน่งคือผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกยท. มีข้อดีคือการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกัน การประสานระหว่างหน่วยงาน เพื่ออำนวยงานด้านยางให้สำเร็จ แต่คราวนี้มาแปลก มีมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (มติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560) เรื่องแนวทางการแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ที่ให้หน่วยงานนั้นแต่งตั้งบุคคลที่อยู่ในหน่วยงานเท่านั้น เผื่อเปิดช่องให้คนนอกหน่วยงานมาเป็นตัวแทนของหน่วยงานตนได้ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์เฉพาะด้าน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่านี่คือตัวจริงเรื่องยาง แต่ว่ากันว่าทั้งหมดคือสายตรงรัฐมนตรี ที่เรียกได้ว่าดรีมทีมยางพารา ตั้งมาแล้วก็ต้องให้โอกาส ถ้าแก้ได้ท่านคือวีรบุรุษของชาวสวนยางแน่นอนแต่ถ้าแก้ไม่ได้ละ ท่านมีวิธีการพิจารณาตัวเองตามลำดับขั้นอย่างไรบ้างรือ....ออเจ้า......"

ล่าสุดหลังจากมีการสั่งพักงานผู้ว่าการกยท.นายธีธัช สุขสะอาด และมีการแต่งตั้งกรรมการกยท.ชุดใหม่เพิ่มเติม ก็ยังไม่รู้ว่าจะโดนใจคนกรีดยางหรือไม่ เพราะในรายชื่อมีทั้งอธิบดีกรมการข้าว ผู้อนวยการกองทุนหมู่บ้านฯ นักวิชาการทั้งจาก ม.อ.และ ม.นราธิวาสฯ รวมถึงการที่คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เห็นชอบตั้ง ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย หนึ่งในคณะกรรมการ กยท. ขยับทำหน้าที่ รักษาการ ผู้ว่าฯ กยท. เพื่อขับเคลื่อนองค์กร สานต่อนโยบายช่วยเหลือพี่น้องชาวสวนยาง พร้อมขับเคลื่อน กยท.สู่ความเป็นหนึ่งด้านยางพารา (ข้อมูลจาก www.facebook.com/thaiquote.org)

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย เปิดเผยว่า การเข้ารับตำแหน่งรักษาการผู้ว่าการ กยท. ครั้งนี้ เพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อน กยท. พร้อมเดินหน้านโยบายด้านต่างๆ ของ กยท. นโยบายตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนรัฐบาลวางแนวทางไว้ เพื่อพัฒนาวงการยางพาราไทยทั้งระบบ ดังนั้น เป้าหมายสำคัญที่พนักงานและบุคลากร กยท.ต้องคิดและทำร่วมกันคือ การแก้ปัญหาเรื่องราคายางพาราที่มีความผันผวน

สำหรับเรื่องนี้จะสะท้อนถึงความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยาง ต้องทำให้เกษตรกรเข้าใจในสาเหตุและปัจจัยของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยทำงานร่วมกับรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้วยการแก้ปัญหาดังกล่าวแต่อาจยังไม่เป็นผลที่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าราคามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบถึงเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยาง และผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิตในระบบ ซึ่งหากมีการส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารามากขึ้น พัฒนาตลาด เทคโนโลยีการผลิต และทุนสนับสนุนเข้ามารองรับก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าให้ยางพารา ผลักดันราคายางให้เพิ่มสูงขึ้นได้

ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า นโยบายสำคัญที่รัฐบาลมุ่งให้เกิดผลสำเร็จ คือ ราคายางที่สูงขึ้น จึงเกิดการผลักดันมาตรการต่างๆ เช่น โครงการใช้ยางของหน่วยงานรัฐ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้โครงการนี้สำเร็จไปตามเป้าหมาย ซึ่ง กยท.เข้าไปช่วยเสริมด้วยการทำงานในเชิงรุก เพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น นโยบายลดการกรีดยางในพื้นที่ภาครัฐ การคุมปริมาณการส่งออกยาง และการลดพื้นที่ปลูกยางในเดือน มกราคม-มีนาคม 2561 ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการระยะสั้นที่ผ่านไปแล้ว ส่งผลให้ราคายางในประเทศปรับสูงขึ้นได้บางช่วงเท่านั้น ดังนั้น กยท. จะต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาและหามาตรการอื่นเข้ามาแก้ปัญหา

"วันนี้ผู้บริหาร พนักงานของ กยท. เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการยาง จะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความสำเร็จและความเชื่อมั่นแก่วงการอุตสาหกรรมยางของโลก เพราะ กยท. คือผู้ที่เชี่ยวชาญและผู้รู้จริงเรื่องยางมากว่า 50 ปี" ดร.ธนวรรธน์ กล่าวทิ้งท้าย

ชื่อของ ดร.ธนวรรธน์ ในมุมของนักวิชาการ นักธุรกิจ เชื่อว่าชื่อนี้ดีกรีดีแน่ๆ จากนักวิชาการ นักพยากรณ์เศรษฐกิจ มาสู่การเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายยางพารา การเรียความเชื่อมั่น ความศรัทธาจากชาวสวนกลับมาจากองค์กรที่เป็นที่พึ่งของชาวสนยางมาโดยตลอดตั้งแต่ยุค สกย.ซึ่งยาวนานกว่า 50 ปี วันนี้ กยท.มีเวลาทำงานไม่นานมากและคงไม่มีเวลาให้ลองผิดลองถูก ดร.ธนวรรธน์ นำเสนอ 3 แนวทางเพิ่มมูลค่ายางพารา คือ

1.การเพิ่มปริมาณความต้องการยางพาราในประเทศ ด้วยการประสานกับหน่วยงานราชการในการนำยางพาราไปเป็นส่วนผสมทำถนน และแปรรูปในรูปแบบต่างๆ เช่น หมอนยางพารา
2.เร่งการหารือภายใต้กรอบข้อตกลงระหว่าง 3 ประเทศผู้ผลิตและส่งออกยาง ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
3.ลดปริมาณยางและพื้นที่ปลูกยาง โดยตั้งงบประมาณกลางปี วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเชิญชวนให้ชาวสวนยางที่ปลูกยางอายุ 1-25 ปี เปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น

พร้อมย้ำว่า "เข้าใจว่าข้อความสำคัญในการมอบหมายให้เข้ามาทำหน้าที่นี้ คือ การรักษาเสถียรภาพราคายางพาราร่วมกับ 3 ประเทศ ไม่ให้ลดลงไปกว่านี้ ซึ่งเชื่อว่าหากทุกอย่างสามารถทำงานไปในทิศทางเดียวกัน น่าจะทำให้ราคายางพาราดีขึ้น แต่จะเป็นราคาสูงเท่าไหร่ ยังไม่สามารถตอบได้ แต่เชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสเห็นราคายางพาราเกินกิโลกรัมละ 50 บาท ภายในช่วง 3 เดือนจากนี้"

พร้อมกันนี้ กยท.ยังออกแคมเปญโครงการพัฒนาอาชีพ ชาวสวนยางรายย่อยเพื่อความมั่นคง ซึ่งจะมีการมอบเงินอุดหนุนทุนอุดหนุนพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมใหม่ทดแทนการทำสวนยางลดความเสี่ยง เพิ่มรายได้ สร้างทางเลือกในอาชีพเพื่อความยั่งยืน โดยให้ปรับเปลี่ยนการทำสวนยางเป็นการปลูกพืชชนิดอื่นรับทุนอุดหนุน ไร่ละ 10,000 บาท ให้สิทธิ์ เกษตรกร 1 ราย เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่ 1 ไร่แต่ไม่เกิน 10 ไร่


คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางกับ กยท. และมีสวนยางตั้งอยู่บนที่ดินที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฏหมาย เป็นเกษตรกรรายย่อย มีเนื้อที่สวนยางที่ถือครองไม่เกิน 50 ไร่ สวนยางต้องมีต้นยางอายุตั้งแต่ 6 เดือน แต่ต่ำกว่า 25 ปี มีจำนวนต้นยางเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 25 ต้น/ไร่ สวนยางที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องไม่เป็นสวนยางที่อยู่ระหว่างรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนกับ กยท. สามารถเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พ.ค.61 ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ ณ กยท.จังหวัด /สาขาที่สวนยางตั้งอยู่  โดยมีเป้าหมายลดสวนยาง 150,000 ไร่ทั่วประเทศ

บทสรุปทิ้งท้ายได้ชัดเจนว่าราคายางพาราสำหรับชาวสวนซึ่งเป็นเกษตรกรต้นน้ำ คงจะขายได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 50 บาท/กิโลกรัม โดยเขาขอเวลา 3 เดือน เม.ย.,พ.ค.,มิ.ย. 50บาท+ ก็ยังดีแต่ว่าอย่าช้านะเพราะใกล้ถึงวันเปิดเทอมแล้วค่าใช้จ่ายในครัวเรือนกำลังตามมาอีกเพียบ หลังจาก 3เดือนที่ท่าขอเวลาถ้าต่อไปอีก 2 เดือนมันก็จะเข้าหน้าฝนอีกแล้ว ขอราคาดีๆ ให้ชาวสวนได้มีสะเบียงสะสมไว้กินยามฝนตกบ้างก็ดี
#131
ไอ้หนุ่มผมยาวซิ่งหนีตำรวจที่สะเดาดังกระหึ่มโซเชียล จากน้ำท่อมขวดเดียวกลายเป็นผิด 5กระทง

อ่วมไอ้หนุ่มผมยาวที่ปรากฏอยู่ในคลิปขับรถมอไซด์ไล่บี้กับตำรวจ สภ.สะเดา ถูกแจ้งดำเนินคดี 5 ข้อหา หลังวางน้ำต้มใบกระท่อมเอาไวในตะกร้าหน้ารถแค่ 1 ขวด และขับสวนทางกับตำรวจสายตรวจ แต่ไม่ยอมหยุดรถให้ตรวจ จนกระทั่งต้องขับไล่กวดจนมุมในตลาดสดเทศบาลเมืองสะเดา

ความคืบหน้ากรณีที่ทางตำรวจ สภ.สะเดา จ.สงขลา ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดิโอจำนวน 2 คลิป ผ่านทางหน้าเพจเฟสบุ๊คของทางโรงพักเมื่อช่วงค่ำวานนี้ เกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจขับรถจักรยานยนต์ไล่ล่าไอ้หนุ่มผมยาวต้องสงสัย และขับรถจักรยานยนต์ไล่บี้กันอย่างหวาดเสียวเหมือนกับในหนังตั้งแต่ถนนคอนกรีตในย่านชานเมือง ไปจนถึงถนนใหญ่ลาดยาง และปิดท้ายจนมุมถูกจับกุมได้ในตลาดสด

โดยก่อนจับกุมชายต้องสงสัยยังได้มีการโยนสิ่งของบางอย่างทิ้งลงข้างทาง รวมทั้งมีการขับขี่อย่างหวาดเสียว โดยเฉพาะการขับรถสวนเลนเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย โดยเรื่องราวดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชน และโลกโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก และมีการแชร์ต่อๆกันไปรวมกว่า 20,000 ครั้ง และมียอดคนดูเกือบ 1.5 ล้านครั้ง รวมทั้งชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุมอย่างใจเย็น เป็นขั้นตอน และไม่ใช้ความรุนแรง นั้น

ล่าสุดวันที่ 20 เม.ย. 61 จากการสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางตำรวจ สภ.สะเดา พบว่า ชายคนดังกล่าที่ปรากฏอยู่ในคลิป คือ นายมูหัมหมัดอามีน ปากา หรือ ดู อายุ 31 ปี ชาว อ.สะเดา จ.สงขลา โดยช่วงก่อนเกิดเหตุนั้น ทาง ร.ต.อ.ธัญพิสิฐ เมืองจันทร์ รอง สวป.สภ.สะเดา ทำหน้าที่หัวหน้าจราจร สภ.สะเดา พร้อมกำลังรวม 6 นาย ได้ขับรถออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ

จนกระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่มาถึงบริเวณแยกพิชัยสงคราม และได้พบกับ นายมูหัมหมัดอามีน กำลังขี่รถจักรยานยนต์ ซูซูกิ สีเขียว ทะเบียน ขทน-505 สงขลา สวนทางมา และในตะกร้าหน้ารถมีน้ำต้มใบกระท่อมวางอยู่ 1 ขวด จึงเรียกให้หยุดรถ แต่ไม่ยอมหยุด จนเจ้าหน้าที่ต้องขับรถไล่กวดติดตามไปอย่างกระชั้นชิด

และได้มีการโยนขวดน้ำต้มใบกระท่อมทิ้งระหว่างทาง ก่อนที่จะเร่งเครื่องหลบหนีไปตามเส้นทางภายในหมู่บ้าน และขึ้น ถ.กาญจนวินิช ก่อนจนมุมภายในตลาดสดเทศบาลเมืองสะเดา รวมระยะทางราว 5 กิโลเมตร ที่ขับเคี่ยวกันมา โดยหวาดเสียวสุดตรงที่คนร้ายขับสวนเลน และขับรถด้วยความเร็วในย่านตลาดสดที่มีผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งยังได้ทิ้งรถหลบหนี และวิ่งวนอยู่ในตลาดสดอีกราว 2 รอบ จนหมดแรง และถูกตำรวจ และหัวหน้าเทศกิจ รวมทั้งชาวบ้าน ช่วยกับจับกุมตัวเอาไว้ได้

ทั้งนี้จากการสอบสวน นายมูหัมหมัดอามีน ให้การยอมรับสารภาพว่า น้ำต้มใบกระท่อมที่วางอยู่หน้ารถนั้นเป็นของตนเองจริง และจากการตรวสอบประวัติเจ้าหน้าที่ไม่พบหมายจับติดตัว หรือความผิดอื่นๆ โดยได้แจ้งดำเนินคดีอ่วมรวม 5 ข้อหา ประกอบด้วย มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (น้ำต้มใบกระท่อม) ไว้ในครองโดยผิดกฎหมาย , ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ , ขับขี่รถประมาทหวาดเสียวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น , ขับขี่รถไม่ไปตามทิศทางที่กำหนด และ ขัดคำสั่งของเข้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
#132
ป.ป.ช.ภาค 9 แถลงโชว์ผลการดำเนินงานในการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง


สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภาค 9 (ป.ป.ช.ภาค 9) แถลงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือน มุ่งป้องกันและปราบปรามการทุจริตในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง


(17 เม.ย. 61) ที่โรงแรมคริสตัลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสนั่น ทองจีน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภาค 9 (ป.ป.ช.ภาค 9) และคณะ ร่วมกันแถลงผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2561 ในรอบ 6 เดือน (1 ต.ค. 60 ถึง 31 มี.ค. 61) มุ่งป้องกันและปราบปรามการทุจริตในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนงในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เข้าร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน

นายสนั่น ทองจีน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภาค 9 เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสำนักงานฯ ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ภารกิจด้านการป้องกันการทุจริต มีการจัดโครงการฯ ที่ใช้งบประมาณของสำนักงาน ป.ป.ช. จำนวน 25 โครงการ เช่น โครงการจัดงานวันต่อต้านคอรัปชั่นสากล (ประเทศไทย) โครงการผลิตสื่อการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างกระแสต่อต้านการทุจริต โครงการส่งเสริมสนับสนุนและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามการทุจริต โครงการ "STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต" โครงการประชุมคณะทำงานความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตบริเวณพื้นที่เสี่ยงพรมแดนไทย-มาเลเซีย ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีโครงการฯ และกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้งบประมาณของสำนักงาน ป.ป.ช. เช่น การออกหน่วยจังหวัดเคลื่อนที่ การจัดแผนป้องกันและปราบปรามการทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การออกอากาศทางวิทยุและการให้บริการความรู้แก่หน่วยงานต่าง ๆ การดำเนินการตามมาตรการระยะสั้นเร่งด่วน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ตอบแทน เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา การประสานส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกับหน่วยงานที่ดำเนินงาน ตามแผนการบูรณาการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งหน่วยงานที่ได้มีการลงนามความร่วมมือ เช่น การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ITA)

ขณะที่ ภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน มีการดำเนินงานตรวจสอบปกติ จำนวน 188 บัญชี การตรวจยืนยันข้อมูล จำนวน 92 บัญชี งานตรวจสอบเชิงลึก จำนวน 3 เรื่อง และ 38 บัญชี กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จำนวน 1 บัญชี และยังมีภารกิจปราบปรามการทุจริต รวม 546 คดี แบ่งเป็นแสวงหา 425 คดี ไต่สวน 121 คดี

ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 ยังคงเดินหน้าป้องกันและปราบปรามการทุจริตในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มุ่งสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมปลอดการทุจริต เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
#133
เชฟรอนฯ ร่วมสนับสนุนชุมชนชายฝั่งอ่าวไทย
ปลูกป่าชายเลน และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสู่ทะเล

เชฟรอนฯ จับมือสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 44 นครศรีธรรมราช และชุมชนชายฝั่งอ่าวไทย ร่วมปลูกป่าชายเลนและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสู่ทะเลอ่าวไทย


นายสมไชย เก้าเอี้ยน หัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 44 นครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำสู่ธรรมชาติ ภายใต้โครงการ "ชุมชนชายฝั่ง รวมพลังอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" โดยมีคุณสุมิตดานัน จันทวี ผู้จัดการศูนย์ขนส่งทางอากาศ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด พร้อมด้วยอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช รวมทั้งสมาชิกกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านแหลมโฮมสเตย์ ชาวบ้าน ชาวประมงพื้นบ้าน นักเรียนและเยาวชนในพื้นที่กว่า 100 คน เข้าร่วมพิธี

และร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลน 500 ต้น และร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ 210,500 ตัว ประกอบด้วย กุ้ง 200,000 ตัว ปูแสม 5,000 ตัว ปลากะพง 5,000 ตัว และปูดำ 500 ตัว ณ กลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านแหลมโฮมสเตย์ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ "ชุมชนชายฝั่ง รวมพลังอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" เป็นหนึ่งในภารกิจหลักในการดำเนินนโยบายทางด้านสังคมของบริษัทเชฟรอนฯ เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟู บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ส่งเสริมพร้อมพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม โดยให้ความรู้ด้านป่าชายเลนให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้สร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ สนับสนุนกล้าไม้และร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์การปลูกป่าอย่างเนื่อง เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของชุมชน ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งเป็นพันธกิจที่บริษัทเชฟรอนฯ ยึดมั่นและถือปฏิบัติตลอดระยะเวลากว่า 55 ปีที่ได้ดำเนินการธุรกิจในประเทศไทย

โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในทุกพื้นที่ที่บริษัทเชฟรอนฯ เข้าไปปฏิบัติงาน
#134
 ยูเนสโกรับรองอุทยานธรณีสตูล
เป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกของประเทศไทย

วันที่ 17 เมษายน 2561 เว็บไซต์ UNESCO ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว  Satun UNESCO Global Geopark ผ่านการประเมินเป็นอุทยานธรณีโลกอย่างเป็นทางการแล้วเป็นที่แรกของประเทศไทย ปีนี้ผ่านการประเมินเพียงแค่ 13 แห่ง เท่านั้น จากผู้สมัครทั่วโลก

ประเทศไทยได้แหล่งอุทยานธรณีโลกจาก UNESCO แหล่งแรกของประเทศ ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและแหล่งธรณีของจังหวัดสตูล ขอแสดงความยินดีกับชาวจังหวัดสตูล และขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวสตูล และที่สำคัญขอขอบคุณทุกหน่วยงานราชการ ทุกองค์กร ทุกชุมชน ทุกๆท่าน ที่ช่วยเหลือสนับสนุนอุทยานธรณีสตูล สู่อุทยานธรณีโลก (Satun Geopark to Satun UNESCO Global Geopark) จนสำเร็จอย่างภาคภูมิ และขอขอบคุณทุกๆท่านที่เป็นกำลังใจ และนี่คือการเริ่มต้นในเวทีโลกที่จะต้องทำต่อไปเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรและการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน 

อุทยานธรณีสตูล เป็นอุทยานธรณีโลก ที่รับรองโดยยูเนสโกเป็นแห่งแรกของประเทศไทย แห่งที่ 5 ของอาเซียน
#135
มรภ.สงขลา ปลื้มความสำเร็จต่อเนื่อง
อบรมพลังงานทดแทนปี 2 ชุมชนตื่นตัวเข้าร่วม


คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มรภ.สงขลา สุดปลื้ม ชุมชนตื่นตัวเข้าร่วมอบรมใช้พลังงานทดแทน ปี 2 เผยความสำเร็จใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ พลิกฟื้นพื้นที่รกร้าง แห้งแล้ง ให้กลับมาเพาะปลูกได้

ดร.กันตภณ มะหาหมัด รองคณบดีฝ่ายวิชาการและงานวิจัย คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) เปิดเผยถึงการอบรมใช้พลังงานทดแทนเพื่อการประหยัดพลังงานแก่ชุมชนเทศบาลตำบลเกาะแต้ว (ทต.เกาะแต้ว) อ.เมือง จ.สงขลา ปีที่ 2 เมื่อเร็วๆ นี้ว่า เป็นการบริการวิชาการด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแก่สังคม ตามนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนในระดับชุมชน ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่รัฐบาลส่งเสริม โดย มรภ.สงขลา ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายและจัดอบรมใช้พลังงานทดแทนให้แก่ประชาชนต.เกาะแต้ว ในปีงบประมาณ 2560 และประสบผลสำเร็จ ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง อันเนื่องมาจากเป็นความต้องการโดยตรงจากการลงพื้นที่สำรวจความต้องการของมหาวิทยาลัย และชุมชนยังมีความต้องการให้ดำเนินการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ดร.กันตภณ กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาด้านพลังงานให้กับเกษตรกรและชุมชน คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มรภ.สงขลา จึงจัดอบรมนำพลังงานทดแทนมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรในท้องถิ่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตก๊าซชีวภาพ การออกแบบติดตั้งระบบปั้มน้ำและการอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติประกอบส่วนโครงสร้างติดตั้งตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบติดตั้งระบบระบายความร้อนตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบติดตั้งตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งระบบผลิตก๊าซชีวภาพ และติดตั้งระบบปั๊มน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จากวิทยากรอาจารย์คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ดร.วนิดา เพ็ชร์ลมุล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ อ.ศุภชัย แก้วจัง และนักศึกษาโปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ในฐานะผู้ช่วยวิทยากร

"โครงการอบรมใช้พลังงานทดแทนในพื้นที่เกาะแต้ว ปีที่ 2 ชุมชนตื่นตัวสูงและเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ที่สำคัญ เราสามารถเปลี่ยนพื้นที่รกร้างแห้งแล้งให้กลับมาใช้เพาะปลูกได้ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว นอกจากนั้น เรายังช่วยกันเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกด้วยการสร้างแหล่งน้ำ พร้อมทั้งเพิ่มอุปกรณ์การแปรรูปอาหาร สร้างอาชีพ วางแผนที่ชุมชน และวางแผนการทำงานร่วมกันสำหรับปีหน้า ขอบคุณชุมชนหมู่ที่ 6 ต.เกาะแต้ว ทีมทำงานที่เข้มแข็ง และนักศึกษาที่ช่วยงานอย่างเต็มที่"  รองคณบดีฝ่ายวิชาการและงานวิจัย กล่าว