[ฅนสองเล]

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
เกษม ลิมะพันธุ์/รายงาน/ภาพ https://www.facebook.com/kasemnews

กรณีการก่อสร้างโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นที่บ้านนาทับ ต.นาทับ อ.จะนะ-บ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว จ.สงขลา ระยะทางประมาณ 5 ก.ม. งบประมาณ 235 ล้านบาท โดย กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี (กรมเจ้าท่า) ก่อสร้างปี 2550-51 รวมทั้งหมด 14 เขื่อน หลังจากนั้นไม่นานได้ส่งผลกระทบมาจากการสร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่นปากคลองนาทับ ทำให้หาดทรายและชายฝั่งสงขลาพังทลายถาวรและลุกลาม

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนกั้นทรายบริเวณปากบางนาทับ คลองนาทับ ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อประโยชน์ในการเดินเรือของชาวประมง เนื่องจากแต่ละปีคลื่นจะซัดทรายมาถมกลบปากคลองนาทับ ส่งผลให้เรือประมงของชาวบ้านไม่สามารถนำเรือเข้า-ออกไปหาปลาได้ จึงมีโครงการก่อสร้างเขื่อนกันทรายปากคลองนาทับขึ้น แต่ผลที่ตามมาคือกระทบต่อบ้านเรือนแนวชายฝั่งถูกคลื่นกัดเซาะ ทางกรมการขนส่งทางน้ำฯ จึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นขึ้น มีการใช้งบประมาณในการซ่อมแซมกันทุกปี

รายงานข่าวแจ้งว่า ในปีงบประมาณ 2556 กรมขนส่งทางน้ำและพาณิยช์นาที ได้ใช้งบประมาณจำนวนอีก 150 ล้านบาท ในการก่อสร้างซ่อมแซมเขื่อนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา หลังถูกคลื่นซัดช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมาทั้ง 14 เขื่อน ตั้งแต่บ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว จนถึงบ้านปึก หมู่ 10 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา พร้อมสร้างต่อเติมเขื่อนให้มีความแข็งแรงควบคู่ไปด้วย โดยสัญญาจะสิ้นสุดเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการก่อสร้างคืบหน้าจนใกล้จะแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ การซ่อมแซมเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณบ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา ไปจนถึงบ้านปึก หมู่ 10 ต.นาทับ อ.จะนะ เนื่องจากช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมา คลื่นลมมีกำลังแรง และกระหน่ำตัวเขื่อนจนพังเสียหายหลายเขื่อน มีทั้งพังบางส่วนและทั้งเขื่อน กรมขนส่งทางน้ำฯ ได้ใช้งบประมาณอีก 150 ล้านบาท ในการซ่อมแซมเขื่อนที่ชำรุด และสร้างเพิ่มเติมพร้อมกันด้วย

รายงานข่าวล่าสุดแจ้งว่า ขณะนี้ผู้รับเหมาได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวบ้านในเขตตำบลเกาะแต้ว บนถนนสายบ้านด่าน-บ้านบ่อิฐ ต่างได้รับผลกระทบจากการบรรทุกหินของรถบรรทุก 10 ล้อ โดยแต่ละคันบรรทุกหินก้อนขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 30 ตันและเต็มล้นจนเป็นที่หวาดเสียวของชาวบ้าน โดยบริษัทผู้รับเหมาต่างเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ในขณะที่ชาวบ้านเพียงแต่บ่นและสร้างความหวาดเสียวในขณะที่รถบรรทุกผ่าน แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้

นันท์นภัสร์ ปิติรัตนปกรณ์ นักวิชาการ กล่าวถึงสาเหตุต่อกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งว่า ต้นเหตุเกิดจากการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นที่ปากคลองนาทับ อ.จะนะ เพื่อป้องกันการทับถมของทรายที่ปากคลอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทรายจะถูกพัดพามากับคลื่นและถูกหอบไปกองบนหาดเป็นแนวยาวไปตามกระแสน้ำชายฝั่ง สำหรับสงขลาทรายจะเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนกันทรายฯเม็ดทรายใหม่จะถูกพัดมากักเก็บไว้ที่ต้นทาง คือทางทิศใต้ของเขื่อนฯ ทำให้ที่ปลายทางทิศเหนือก็จะไม่มีทรายใหม่มาหล่อเลี้ยง ขณะที่คลื่นยังเคลื่อนตัวและพาทรายเก่าบนหาดทรายไปด้วย ทำให้ชายหาดนาทับมีการโค้งเว้าหรือการกัดเซาะชายฝั่งนั่นเอง

อีกทั้งยังมีเขื่อนกันคลื่นที่มองว่าจะช่วยลดการกัดเซาะได้ แต่ผลกับตรงกันข้ามเพราะเกิดเวิ้งทรายติดต่อกันไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังคงมีการสร้างเขื่อนกันคลื่น ส่วนปลายเขื่อนตัวสุดท้ายก็จะเกิดการกัดเซาะรุนแรงขึ้นไปอีก ทำให้มีการสร้างเขื่อนหรือกำแพงเหล่านี้ต่อไปอีกไม่มีวันสิ้นสุด

?วันนี้หาดทรายที่ดิฉันจำได้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีแต่สิ่งก่อสร้างที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางด้านทัศนียภาพ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม การสร้างเพื่อปกป้องสิ่งหนึ่งกลับกลายเป็นการทำลายสิ่งรอบข้างต่อไปเรื่อยๆ หากไม่มีการคิดไตร่ตรองให้ดี คนบางกลุ่มซึ่งได้ประโยชน์แต่ไม่สนใจความเสียหายอย่างรุนแรงและต่อเนื่องที่เกิดกับธรรมชาติและไม่รับรู้ต่อความลำบากของชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่รู้อิโน่อิเน่ คำถามที่ว่า ?หาดทรายของเราหายไปไหน?? และ ?เพราะอะไร?? นั้น อาจตอบได้ว่าธรรมชาติถูกทำลายเพราะคนเราคือต้นเหตุ ...นั่นเอง?

Kasemnews@hotmail.com/ข่าว/ภาพ

[ฅนสองเล]

ขอบคุณข้อมูลและภาจากบังเกษมอีกครั้งครับ